สองสามนัดที่ผ่านมาฟอร์มโดยรวมของทีมไม่ได้อยู่ในระดับที่ดีนัก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องแดนกลางครองเกมไม่ได้โดมินิค โซโบซไล ที่เคยทำผลงานโดดเด่นมากสุดเมื่อเทียบกับเหล่านักเตะหน้าใหม่จนถูกยกย่องว่าเป็นการเสริมทัพที่ยอดเยี่ยมช่วงซัมเมอร์ ทว่าตอนนี้ มิดฟิลด์ฮังกาเรี่ยน ตกอยู่ในช่วงฟอร์มตกอย่างหนัก หากนับจำนวนอาจมี 2-3 เกมขึ้นไป จากที่ 10 เกมแรกในลีกไม่เคยถูกเปลี่ยนตัวออก แต่ 7 เกมหลังของ โซโบซไล คือ vs ลูตัน : เปลี่ยนตัวออกนาที 66
vs เบรนท์ฟอร์ด : เปลี่ยนตัวออกนาที 90 vs แมนฯ ซิตี้ : เปลี่ยนตัวออกนาที 73
vs ฟูแล่ม : เปลี่ยนตัวออกนาที 64
vs เชฟฯ ยูไนเต็ด : ลงครบ 90 นาที
vs คริสตัล พาเลซ : เปลี่ยนตัวออกนาที 74
vs แมนฯ ยูไนเต็ด : เปลี่ยนตัวออกนาที 61
ที่เห็นได้ชัดคือเกมแดงเดือดวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แค่ครึ่งแรกครึ่งเดียว โซโบโซไล เสียการครองบอลถึง 12 ครั้ง, ออกบอลช้า, ผ่านบอลไปไม่ถึงเพื่อนร่วมทีมต่อเนื่อง จนกระทั่งถูกเปลี่ยนตัวออกในที่สุดหยิบยกความเห็นของ เกร็กก์ อีแวนส์ จาก ดิ แอธเลติก ที่วิเคราะห์ถึงคำถามข้างต้นเขาบอกว่า แผงกลาง ลิเวอร์พูล เริ่มหมดแรงกันไปหมดจริงอยู่ว่าในช่วง 2 เดือนแรกของฤดูกาล ไม่มีใครที่เล่นได้คงเส้นคงวามากไปกว่า โซโบซไล อีกแล้ว เขาวิ่งขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่เหน็ดเหนื่อย และโชว์ฟอร์มโดดเด่นตลอดเกมลีก 10 นัดแรกแต่วันที่เจอกับ ยูไนเต็ด โซโบ กลับเล่นไม่ดีเลยตรงพื้นที่อันตราย (ผ่านบอลเข้าเป้า 76 เปอร์เซ็นต์) เขาผ่านบอลไม่ตรงจุดและขาดความนิ่งที่เคยมีในช่วงต้นฤดูกาลโซโบซไล จำเป็นต้องได้รับการพักบ้างเพื่อที่จะทำให้กลับมามีสภาพร่างกายสดใหม่ซึ่งจะส่งผลต่อฟอร์มการเล่นไปด้วยแล้วสำหรับ ไรอัน กราเฟนแบร์ค นี่เป็นอีกเกมที่เขาคว้าโอกาสเอาไว้ไม่ได้ เขาก็เหมือนกับ โซโบซไล ที่จริง ๆ แล้วมีความสามารถในการไปกับบอลได้ดี และมันควรเป็นโอกาสทองที่เขาจะได้ลากใส่ จอนนี่ อีแวนส์ กับ 2 มิดฟิลด์ตัวรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่โดนใบเหลืองไปทั้งคู่ตั้งแต่ครึ่งแรกอย่างไรก็ตาม เขากลับได้จับบอลแค่ 15 ครั้งในช่วง 30 นาทีแรก และผ่านบอลเข้าเป้าแค่ 57 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าหลังจากนั้น กราเฟนแบร์ค กลับมาเล่นด้วยความนิ่ง แต่เขาก็ไม่สามารถโชว์การเล่นที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ได้ ถ้าเกิด ลิเวอร์พูล คิดที่จะมีลุ้นแชมป์แบบจริงจังแล้วล่ะก็ พวกเขาจำเป็นต้องทำให้ทั้งคู่กลับมาโชว์ฟอร์มที่ร้อนแรงให้ได้ถึงกระนั้น มันไม่ได้มีแค่เรื่องของกองกลางเสมอไปคำพูดของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่กล่าวบนเว็บไซต์สโมสร นายด่านแซมบ้ากระตุ้นให้ ลิเวอร์พูล ทำการแก้ไขเรื่องจจังหวะเข้าบางทีเราน่าจะพัฒนาในเรื่องการสร้างสรรค์เกมในพื้นที่สุดท้าย, สร้างโอกาสให้ดีกว่านี้, พยายามเล่นอย่างใจเย็นเมื่อได้ครองบอล และตัดสินใจเลือกให้ดีกว่านี้ บางครั้งเรารีบร้อนเกินไปหน่อย”จังหวะที่ยิงควรจะส่งให้กับผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า แต่นี่เป็นส่วนหนึ่งของเกม เราต้องเรียนรู้จากสิ่งนั้นให้เร็วที่สุด เพราะในหนึ่งฤดูกาลไม่ได้มีเวลามากมายให้การแก้ไขปรับปรุง”เมื่อมองดูจากเกมล่าสุด ดาร์วิน นูนเญซ ไม่มีช่วงเวลาที่ดูจะทำประตูได้เลย ผลลัพธ์ที่ยิงประตูไม่ได้ทำให้ตอนนี้เขาเท้าบอด 10 นัดติดต่อนูนเญซ มีพื้นที่ว่างให้เล่นน้อยมากเมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งรับลึก และพอผ่านไปเรื่อย ๆ เขาก็เล่นด้วยความหงุดหงิด ครึ่งแรกเขาได้จับบอลแค่ 8 ครั้งกับการยืนแถวกรอบเขตโทษแน่นอน ดาวเตะชาวอุรุกวัยมีความขยันที่น่าประทับใจ และ คล็อปป์ ก็พอใจที่เขาช่วยกดดันคู่แข่งได้ดี โดยเฉพาะในช่วงต้นเกมอย่างไรก็ตาม ถ้าหาก ลิเวอร์พูล ยังมีลุ้นแชมป์ลีก พวกเขาต้องการให้ นูนเญซ ช่วยทีมให้ได้มากกว่านี้ในพื้นที่สุดท้าย การทำประตูในลีกได้แค่ 4 ลูกหลังจากผ่านไปแล้วครึ่งฤดูกาลเป็นผลงานที่น่าผิดหวังเมื่อพิจารณาถึงตำแหน่งการยืนของเขาในทุกวันนี้ และการที่ นูนเญซ สามารถสร้างความปั่นป่วนในแนวรับได้ดีหลุยส์ ดิอาซ ก็เข้าข่ายนั้นเช่นกัน เขาทำประตูได้เพียงลูกเดียวจากการลงเล่น 8 เกมหลังสุดในทุกรายการ คือเกม ยูโรปา ลีก ที่เจอกับ แอลเอเอสเค ในเกมลีกฤดูกาลนี้ดาวเตะชาวโคลอมเบียเพิ่งยิงได้แค่ 3 ลูก จำนวนรวมทุกรายการอยู่ที่เพียง 5 ประตู มีหลายช่วงที่เขาเล่นได้น่าตื่นตาตื่นใจในตอนที่ตัดเข้าจากด้านซ้าย แต่ในจังหวะสุดท้ายเขากลับไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ดิอาซ เอาชนะ ดีโอโก้ ดาโลต์ ไม่ได้เลย และเขาก็โดนเปลี่ยนตัวออกเหมือนกับ นูนเญซในตอนที่ ลิเวอร์พูล ต้องการแรงบันดาลใจในช่วงครึ่งหลัง คล็อปป์ ตัดสินใจหันไปพึ่งพา โคดี้ กัคโป แต่ดาวเตะชาวดัตช์ดูเหมือนชายที่กระเสือกกระสนที่จะสร้างผลกระทบให้ได้มากเกินไป เขาไม่มีความนิ่งตอนที่มีโอกาสทำประตู เช่นชอตที่ได้โหม่งโล่ง ๆ ช่วงท้ายเกมแต่กลับไร้ความแม่นยำกัคโป ทำได้เพียง 2 ลูกจาก 10 เกมหลังสุดในทุกรายการ และทั้ง 2 ประตูที่ว่าเกิดขึ้นในเกมกับ แอลเอเอสเค แถมประตูสุดท้ายในเกมลีกต้องย้อนไปถึงช่วงเดือนกันยายนโน่นเลยจากชอตได้ยิง 34 ครั้งของ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้นั้น มีแค่เกือบถึงครึ่งหนึ่งที่เป็นการยิงจากในกรอบเขตโทษ แถมพวกเขายิงด้วยความไร้ไอเดีย, ตัดสินใจพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่ค่อยมีลูกแทงบอลให้นักเตะที่วิ่งทะลุขึ้นไปได้เจอร์เก้น คล็อปป์ อธิบายถึงการเปลี่ยนแทคติค ที่เลือกเปลี่ยนเอา กัคโป กับ โจ โกเมซ ลงแทน โซโบซไล กับ กราแฟนแบร์ค จากนั้นส่ง เคอร์ติส โจนส์ กับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ แทนที่ หลุยส์ ดิอาซ และ นูนเญซ ระบบปรับจาก 4-3-3 มาเป็น 4-2-4 แบบเกมบุก และสุดท้ายมันไม่ได้ผลเมื่อคุณเจอกับทีมที่ใช้แผนแบบตามประกบตัวต่อตัวในพื้นที่ส่วนใหญ่ของสนามแล้ว การเปลี่ยนแท็กติกแค่เล็กน้อยก็สามารถสร้างผลกระทบได้ เรามี โจอี้ เป็นตัวริมเส้นทางฝั่งขวา แล้วให้ โม ขยับเข้ามาอยู่ตรงกลางร่วมกับ ดาร์วิน ในตอนแรก และตามด้วยการเล่นร่วมกับ โคดี้ ในจุดที่มีพื้นที่ว่าง”หลังจากนั้นเราก็ให้ ฮาร์วี่ย์ มารับบทแบบนักเตะเบอร์ 10 ส่วน เคอร์ติส ลงมารับหน้าที่ตรงฝั่งซ้ายที่มีพื้นที่ว่างนิดหน่อย
More Stories
เดส์ชองส์ ประกาศ 25 แข้งฝรั่งเศส ก็องเต้ คัมแบ็คอีกครั้ง
คิดได้ไง!!แอนโทนี่ งงแดก ถูกจับเล่นแบ็คซ้าย
แฟนผีเอาไหม!!เซาธ์เกต ตัวเต็งคุมทีม แมนยู